เผยความลึกซึ้งของซีรีส์ไทย “อสงไขย Interminable” ผสมผสานวรรณศิลป์ไทยและซีรีส์วายเหนือธรรมชาติอย่างลงตัว
ในยุคที่วงการบันเทิงไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นหนึ่งในพลังแห่ง Soft Power ที่สามารถส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซีรีส์ “อสงไขย Interminable” ซึ่งเป็นผลงานที่ผสมผสานระหว่างวรรณศิลป์ไทยเข้ากับแนวซีรีส์วายเหนือธรรมชาติ ได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่น่าจับตามองที่สุดในช่วงนี้
ซีรีส์ “อสงไขย Interminable” เป็นมากกว่าซีรีส์รักเร้นลับ
ซีรีส์เรื่องนี้จัดอยู่ในกลุ่มพีเรียดรักเร้นลับเหนือกาลเวลา ซึ่งนำเสนอเรื่องราวความรักที่ซึมซับความเป็นไทยอย่างลึกซึ้ง ผ่านเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้ พลังเหนือธรรมชาติ หรือความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างตัวละครหลัก
ผลงานนี้ได้รับการนำเสนออย่างละเอียดลออ โดยได้ผู้กำกับชื่อดัง “ใหม่ ภวัต พนังคศิริ” ซึ่งมีผลงานสร้างชื่อเสียงในวงการละครพีเรียดมาแล้วหลายเรื่อง เขายึดแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานที่เน้นความกลมกล่อมระหว่างความเป็นไทยและความร่วมสมัย ทำให้ซีรีส์ “อสงไขย Interminable” กลายเป็นผลงานที่น่าจดจำทั้งในด้านเนื้อหาและภาพลักษณ์
ความเป็นไทยผ่านศิลปะและวัฒนธรรมในซีรีส์
หนึ่งในความโดดเด่นของซีรีส์นี้คือการนำเสนอวัฒนธรรมไทยอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การใช้ศิลปะนาฏศิลป์ไทย ดนตรีไทย รวมไปถึงสถาปัตยกรรมเรือนไทยแบบดั้งเดิม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสวยงามและความเปี่ยมด้วยความหมายของวัฒนธรรมไทยในยุค ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2453) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคมไทย
การผสมผสานระหว่างความเป็นไทยแบบดั้งเดิมกับความทันสมัยในภาพรวมของซีรีส์นี้ ทำให้ผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าใจและรับรู้ถึงศิลปะวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
ความรู้สึกของนักแสดงถึงความภาคภูมิใจ
บิลลี่ ภัทรชนน อ่อนสอาด และ เบ้บ ธนทัต พรรณวิริยะกุล นักแสดงนำของซีรีส์ “อสงไขย Interminable” ต่างแสดงความภาคภูมิใจอย่างสุดซึ้งต่อโอกาสนี้ โดยเบ้บเปิดใจว่าเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ถ่ายทอดนาฏศิลป์ไทย ซึ่งเป็นศิลปะประจำชาติที่สะท้อนรากฐานวัฒนธรรมและเป็นภาพจำที่สวยงามของความเป็นไทยให้ชาวต่างชาติได้เห็น
นอกจากการแสดงนาฏศิลป์ไทยแล้ว ซีรีส์ยังได้ถ่ายทอดความเป็นไทยในหลายมิติ เช่น เสื้อผ้า การแต่งกาย ประเพณี และอาหารไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ใหม่ ผู้กำกับ พยายามสอดแทรกเข้าไปในแต่ละซีนอย่างละเอียด เพื่อสร้างภาพของไทยในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาท ทำให้ชาวต่างชาติสามารถมองเห็นและเข้าใจวัฒนธรรมไทยในแง่มุมใหม่ๆ ได้อย่างชัดเจน
ซีรีส์ “อสงไขย Interminable” สร้าง Soft Power ให้ไทยในระดับโลก
การนำเสนอวัฒนธรรมไทยอย่างเต็มรูปแบบในซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโปรโมท Soft Power ของไทยในระดับสากล โดยเฉพาะในยุคที่ภาพลักษณ์และวัฒนธรรมไทยกำลังเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ
ผลลัพธ์คือ ทุกองค์ประกอบของการสร้างสรรค์ซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกฉาก การออกแบบเครื่องแต่งกาย การใช้เทคนิคแสง สี เสียง และดนตรีไทย ล้วนแต่ถูกปรับใช้เพื่อให้ได้ภาพลักษณ์ที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างแท้จริง
ความสำคัญของซีรีส์ในยุคสมัยนี้
ในแง่ของแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของวงการบันเทิงไทย ซีรีส์ “อสงไขย Interminable” เป็นตัวอย่างของการสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถตอบโจทย์ทั้งความบันเทิงและการส่งเสริมวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว ด้วยการผสมผสานความเป็นไทยและความร่วมสมัยอย่างกลมกลืน
นอกจากนี้ ซีรีส์นี้ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้พลังของสื่อในการสร้างความเข้าใจและความภาคภูมิใจในรากฐานวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวโลก และส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การอนุรักษ์ศิลปะไทย และการสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทยอย่างยั่งยืน
ช่องทางการรับชมและความเคลื่อนไหวของซีรีส์
สำหรับผู้ที่สนใจติดตามความเคลื่อนไหวของซีรีส์ “อสงไขย Interminable” สามารถรับชมได้ทุกคืนวันศุกร์ เวลา 21.30 น. ทางช่อง Workpoint หมายเลข 23 รวมถึงสามารถรับชมในเวอร์ชัน UNCUT แบบออนไลน์ได้ที่ และแอป iQIYI เวลา 22.30 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังสามารถติดตามข่าวสารและอัปเดตต่างๆ ของซีรีส์ผ่านโซเชียลมีเดียของแฟนเพจ @interminableTH ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับแฟนคลับและผู้ที่สนใจในแนวซีรีส์วายและวรรณศิลป์ไทย
บทส่งท้าย
ซีรีส์ “อสงไขย Interminable” ไม่ใช่เพียงแค่ผลงานบันเทิงที่สร้างความสนุกสนานและความตื่นเต้นเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทยและการพัฒนาทาง Soft Power ของไทยในเวทีโลกด้วยความละเอียดอ่อนและความใส่ใจในทุกองค์ประกอบของการสร้างสรรค์
ผลงานนี้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญของการนำวรรณศิลป์ไทยและสื่อบันเทิงร่วมสมัยมาผสมผสานกันอย่างลงตัว เพื่อให้คนทั่วโลกได้เห็นและรู้จักความงดงามของวัฒนธรรมไทยในมิติใหม่ที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์และความภาคภูมิใจอย่างแท้จริง
